วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Ship Scale Story 2 : เด็กเก็บท่อ (The boy sketch line piping drawing)

ซา-หวาด-ดี-คร๊าบ คราวที่แล้วผมได้ทิ้งท้ายเอาไว้เกี่ยวกับชื่อ View ต่างๆของแบบ ตอนแรกว่าจะมาต่อ

แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน (คิดเนื้อยังไม่ออก) เอาไว้เป็นคราวหน้า (อะนะ) วันนี้โพสท์หัวไว้ว่าเด็กเก็บท่อ อัน-นี้-ชาน-ม่าย-ได้-หมาย-ถึง-เดิน-ไป-เก็บ-เศษ-ท่อ-นะ-นาย-จ๋า (ออกเสียงให้เหมือนแขกขายผ้า....อิอิ) คือเรื่องมันมีอยู่ว่า....
หลังจากที่ต่อเรือลำแรกเกือบของเกือบจะเสร็จ (เรือลงจากคานไปอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว) พี่ที่เป็นวิศวกร พี่เอ (นามสมมุติ) เค้ามีเรื่องอยากให้เราช่วย (ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร) เค้าบอกว่า
พี่เอ : เอก พี่มีเรื่องอยากให้เราช่วยหน่อยหวะ
เอก : เรื่องอะไรครับพี่
พี่เอ : เราจำแบบท่อของเรือลำนี้ (เจ้าพระยาปริ๊นเซสส์) ได้ปะ
เอก : ได้ครับพี่ทำไมอะ
พี่เอ : เราช่วยไปวัดขนาดจริงๆมาให้พี่หน่อยดิ
เอก : พี่จะเอาไปทำอะไรเหรอครับ แล้วขนาดที่แบบมันใช้ไม่ได้เหรอครับ
พี่เอ : มันไม่ตรงกันหวะ
เอก : ทำไมอะ
พี่เอ : หมวกเขียวเค้าทำกันเองไปแล้ว เค้ามีประสบการณ์ประมาณนั้น


หมวกเขียวของที่นี่ หมายถึงโฟล์แมนนะครับ หมวกขาว หมายถึง วิศวกร หมวกฟ้ารองโฟล์แมน หมวกเหลือง เป็นช่าง ส่วนหมวกแดงเป็นผู้ช่วยช่าง (ขอโทษเถอะตอนนั้นอยู่ปวส. แล้วหยุดเรียนมาทำงาน ผมใส่หมวกแดงนะครับ...เฮอๆยังจะคุยอีก) ตอนแรกที่รับปากก็คิดว่าคงไม่ยากเพราะให้เราทำคนเดียว อ้อลืมไปมีคนช่วยด้วยอีกคนเอาไว้คอยจับตลับเมตรให้ ลืมบอกไปอีกอย่าง ที่ต้องการความยาวจริงเพราะจะเอาไปคิดเงินกับลูกค้าได้ถูกต้องอะครับ กลับมาต่อกันดีกว่า....พอลงไปในเรือ(ยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้นแรก)ไหนอะท่อ...พี่เค้าก็บอกว่า

เอกมันอยู่ที่ท้องเรือ ต้องเปิดช่องคนลอด (Manhole) เข้าไปดู...อืม...งานเข้าแหล่ะ...ถ้าผมจำไม่ผิดเรือลำนี้น่าจะมีกันห้องประมาณ 10 กั้นห้องได้...(กั้นห้องนั้นมีไว้เผื่อว่าเวลาท้องเรือแตก น้ำรั่วเข้ามาเรือจะได้ไม่จมในทันที) แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็นอย่างงั้นอะดิ..ลงไปแล้วไม่เจอท่อ เจอช่องคนลอดอีกอันนึงอะ แล้วก็ลอดเข้าไป ไปด้านหน้านะคร๊าบไม่ได้ลงไปข้างล่าง อีกทีนะเดี๊ยวจะเข้าใจผิด..อิอิ.....พี่มีไฟมั้ย..ไฟอะไรน้อง...ไฟในตัวพี่รึเปล่า...ไฟอะไรพี่...ไฟ.จุดจุดจุด....พอเฮอะพี่ผมขอไฟฉายครับ มันมืดมองไม่เห็น...พอได้ไฟฉายมาก็นั่งสเก็ตรูปก่อนแล้วค่อยวัดที่หลัง ก็อย่างที่บอกไว้ไม่มีแบบ...ลืมบอกอีกแล้วตอนนี้ผมอยู่ตรงกลางลำเรือ และทำแบบนี้ไปที่หัวเรือก่อนแล้วค่อยไปที่ท้ายเรือคร๊าบบ สักพักก็มีเสียงบ่น..เอก เดี๊ยว กรูขึ้นไปก่อนนะ..เออไปเฮอะเดี๊ยวสเก็ตเสร็จจะเรียก ผมนั่งวาดไปซักพักก้อรู้สึกเคลิ้ม ก้ออย่างที่บอกอะท้องเรือมันอยู่ในน้ำอะ อากาศรอบๆท้องเรือเย็นๆกำลังน่านอนเลยอะ(นะตอนนี้ เอก ได้หลับอยู่ในท้องเรือเพียงลำพัง..อิอิ) ซักครู่ก็มีเสียงแกล้งๆ “เสียงอาไรวะ” ใครมาเปิดmanholeไว้นี่ปิดให้เรียบร้อย (ซวยแล้วดิกรูอยู่ในนี้อะ) อย่าเพิ่งปิดดดดดด ผมอยู่ในนี้คร๊าบบบ “อ้าวนึกว่าไม่มีคน” โฮ้กรูเกือบตายแหล่ะ...เวรเอ้ย...ตั้งแต่ตอนนั้นมาเลยรีบสเก็ตรูปแล้ววัดขนาดท่อให้เสร็จ(อย่างเร็วอะ...เพราะกลัวตายครับ)บางกั้นห้องจะมีแต่ท่อวิ่งต่อๆกันไปเพียงอย่างเดียว แต่บางกันห้องจะมีtankที่ทำไว้รองรับระบบเช่นระบบ Sewage จะมีท่อวิ่งมาลงที่tankนี้ในเรือลำนี้มีอยู่ประมาณ 4 tankและระหว่างtankก็มีท่อต่อกัน เก็บเสร็จทุก manhole ก็ว่าสบายแหล่ะ แต่พอมาที่ห้องเครื่อง(ท้ายเรือ)เท่านั้นแหล่ะ..ต้องผงะเลยอะครับ(ท่อมานจะเดินอะไรกันนักกันหนานะ) ซึ่งระบบท่อที่ผมเก็บมาได้จากเรือลำนี้มีอยู่ด้วยกัน 10 ระบบครับ

1. Ballast System คือ ระบบน้ำที่มีไว้ปรับระดับความสมดุลของตัวเรือ หรือเรียกว่า อับเฉา ตามภาษาช่างในเรือครับ
2. Cooling Water System คือ ระบบน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ครับ
3. Freshwater System คือ ระบบน้ำจืดครับ
4. Fuel Oil System คือ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงครับ
5. Bilge Water System คือ ระบบน้ำเสียครับ
6. Sewage System คือ ระบบท่อน้ำทิ้ง
7. Sea chest of tank and pipe System
8. Exhaust Pipe คือ ท่อไอเสีย
9. Hydraulic Pipe คือ ท่อไฮดรอลิคบังคับหางเสือซ้ายและขวา
10. Air Vent คือ ท่อหายใจครับ(มันมีไว้ระบายอากาศนะครับ)



โดยทั้งหมดแล้วตอนนั้นผมใช้เวลาทั้งหมดกับการสเก็ตและวัดขนาดอยู่ 2 เดือนครับก็เล่นเอาหืดขึ้นคอไปเหมือนกัน...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แต่อย่างที่รู้กันครับเมื่อมีลำแรกก็ต้องมีลำที่สองผมได้ทำการเก็บท่ออีกครั้งกับเรือRiverside Bangkok 3 อีกหนึ่งลำครับแต่คราวนี้ไปเก็บที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ที่อยู่ใกล้ๆกับสะพานซังฮี๊อะครับแถมด้วยการทดลองวิ่งจากโรงแรมไปถึงหน้าพระจอมเกล้าพระนครเหนือแล้ววนกลับมาที่โรงแรมครับหนุกดีครับ
สำหรับตอนต่อไปผมจะมาขยายความกันว่ากว่าจะได้กงเรือมานั้นเขาทำกันมากันไปเป็นอย่างไรบ้างนะครับซา-หวัด-ดี คร๊าบบบบ

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Ship Scale Story 1 : เรือลำแรก (First Ship)

สำหรับคนที่อยากจะมีเรือจำลอง(Ship Model)เป็นของตัวเองสักลำนั้น คงต้องมีคาดหวังรึไม่ก็อยากได้เป็นของตนเอง รึไม่ก็ต้องต่อด้วยตัวของตัวเอง..ผมเองก็เช่นกัน...
เรือลำแรกในความต้องการของผมนั้นเป็นเรือประมง(Fish Ship)อะคับ เหตุที่อยากได้เรือประมงนั้นมันเกิดจากเมื่อ 11 ปีที่แล้วตอนผมอายุ 19 ปี ผมเรียนอยู่ระดับ ปวส. และกำลังหาที่ฝึกงานอยู่..วิธีหาที่ฝึกงานของผมนั้นคือเดินหาเอาแถวบ้านครับ..(แถวโรงเรียนหาดอมรา สมุทรปราการ แต่ผมเป็นศิษย์เก่า St.Raphael นะคร๊าบบ) ผมเดินมาเรื่อยๆและก็ผ่านไปหลายบริษัทแล้ว แต่ก็ยังหาที่ฝึกงานไม่ได้ จนมาถึงซอยสุดท้ายก็บอกกับตัวเองเหมือนกันว่าถ้าไม่ได้ก็จะกลับแล้ว ที่หน้าปากซอยนั้นผมสะดุดใจกับโลโก้บริษัทไทยอินเตอร์เนชั่นแนลด็อคยาร์ด จำกัด มาก มันเป็นรูปสมรเรือ(Anchor)เห็นแล้วก็สวยดีครับ จึงเดินเข้าไปถามรายละเอียด ปรากฏว่าได้ ก็เลยได้ฝึกงานที่นั้น


ตอนแรกที่ไปทำ ยังไม่รู้เรื่องเลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่รู้แต่ว่าต้องมาขีดเส้นตามพื้นสีเขียว ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนอยู่มาวันหนึ่งเดินเข้าไปในพื้นที่ทำงาน (Yard) เห็นเรือขึ้นมาอยู่บนสาลี้มากมายทั้งเรือไม้(Wood Ship)และเรือเหล็ก(Steel Ship) แต่ที่ชอบที่สุดคือเรือเหล็กที่เพิ่งต่อกระดูกงู(Keel)และกงเสร็จมันทำให้รู้สึกได้เลยว่าทำได้ไง ความอยากรู้จึงเกิดขึ้นมาแต่ตอนนั้น ไม่รู้จะถามใครดี และตอนนั้นเริ่มชอบเรื่องของโครงสร้างเรือ(Ship Structure) ขึ้นมาบ้างแล้ว ด้วยความที่เริ่มชอบในวันนั้น จึงพักการเรียนที่โรงเรียนไว้ก่อนแล้วมาทำงานเต็มตัวมาเป็นพนักงานรายวันก่อน ค่าแรงให้เท่าคนจบ ม.ต้น ประมาณ 165 บาทได้มั้ง แต่พอมาทำเต็มตัวกลับไม่มีใครสอนงานเราได้และหัวหน้าที่ทำเป็นหรืออาจารย์(เราเรียกกันแบบนั้นอะคร๊าบ) ก็ลาออกไปอยู่บริษัทอื่น... ชีวิตเลยเคว้ง ต้องไปเป็นช่างทาสีเรือซะงั้น แล้วก็ไปเป็นช่างไม้(ตอนนั้นแบกไม้หน้าสี่กับปูนเพื่อเอาขึ้นเรืออะโหดสุดๆไม่รู้ทำไมที่นี่ไม่มีเครื่องทุ้นแรกเลยอะ) และช่างเชื่อม(ตอนแบกถังลม..อืม..มานหนักมากกกกอะ)และยิ่งโหดสุดๆตอนอยู่แผนกBending ยกเอาเองหมดอะครับ... เมื่อทำอย่างนี้มาหลายเดือนก็เริ่มรู้สึกเบื่อ ตอนเที่ยงๆก็เลยไป


นั่งบนเรือลูกค้าที่รอซ้อมหรือระหว่างซ้อม มองลงมาเห็นเรือประมง(Fish Ship)จอดซ้อมอยู่มากมาย เห็นแล้วก็รู้สึกสวยดีจึงหากระดาษมาสเก็ต เอาไว้เล่นๆไม่ได้ตั้งจะทำโมเดลแต่อย่างใด แต่เมื่อเอามาเขียนเป็นจริงเป็นจังดูในกระดาษใหม่อีกครั้งกลับรู้สึกว่าน่าจะทำเป็นโมเดลออกมานะ หลังจากนั้นมาก็เก็บความรู้สึกเอาไว้ว่าอยากจะทำออกมาเป็นโมเดลให้ได้..
..ส่วนเรื่องงานตอนนั้นผมทำอยู่ที่นั้นประมาณ 5-6 เดือนก็ว่าจะเลิกทำแล้ว..แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เลิก...และพอดีมีหัวหน้าคนใหม่เข้ามา...คือว่าที่ ร.ต. พงษ์ศธร สุริยะวรากุลหรือพี่อึ่ง ซึ่งบุคคลผู้นี้เองที่เป็นคนให้ความรู้กับผมในการต่อมา....จนสามารถอ่านแบบลายน้ำ(Water Line Plan)หรือลายแปลน ของเรือได้ซึ่งในแบบแปลนนั้นก็มีชื่อเรียกของมันเองอยู่เช่นกัน
- ด้านครึ่งหน้าและด้านครึ่งหลัง เรียกว่า บอดี้แปลน (Body Plan)
- ด้านข้าง เรียกว่า โปรไฟล์แปลน (Profile Plan)
- ด้านล่าง เรียกว่า ฮาฟ เบลดแปลน (Half-Breadth Plan)
และนี้ก็เป็นที่มาของเรือลำแรกที่ยังไม่เป็นจริงแต่ต้องเป็นจริงแน่นอนครับ(ซักวันหนึ่ง)ส่วนเรือลำแรกในตอน
นี้ก็คือเรือฉลอมที่ได้มาเรียนกับ อ.กฤติพงษ์ อะคร๊าบ